ก้าวเข้าสู่ปี พ.ศ. 2559 เรียบร้อยแล้ว แปลว่าพวกเรา 10 ประเทศได้เป็นประชาคมอาเซียนกันเรียบร้อยแล้วนะครับ แม้ว่า คนไทยส่วนใหญ่จะยังคงสนใจแต่ AEC ซึ่งหมายถึงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นหลักก็ตาม แต่ก็อย่างที่ผมเคยเขียน ถึงไปแล้วนะครับ ประชาคมอาเซียนนั้นมีสามเสาซึ่งรวมถึงอีกสองเสาคือเสาการเมืองความมั่นคงและเสาสังคมวัฒนธรรม ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่ด้วยความที่คนพูดเรื่องประชาคมอาเซียนคนแรกๆของเมืองไทยเป็นนักเศรษฐศาสตร์ (ผมเอง) เสาเศรษฐกิจก็เลยดังกว่าเสาอื่นๆ อย่างช่วยไม่ได้
ทีนี้มาดูกันหน่อยครับว่าจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองไทยและ AEC ความจริงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558 ที่หลายคนตื่นเต้นว่าจะเป็นวันเปลี่ยนแปลงใหญ่นั้น แท้ที่จริงมันเป็นแค่วันกำหนดนัดหมายที่พวกเรา 10 ประเทศตกลงกันว่า เมื่อถึงวันนี้ สิ่งที่เราตกลงจะทำเพื่อให้พวกเราเป็นประชาคมอาเซียนนั้นควรจะเสร็จก่อนวันดังกล่าว แต่อาเซียนมีความ อะเมซิ่งอย่างหนึ่งที่กลุ่มประเทศอื่นๆไม่มีคือ “เราอาเซียนด้วยกัน เราไม่บังคับกัน” ดังนั้นแม้ว่าเราจะประชุมเตรียมการ กันมานานเท่าไหร่ แม้ว่าเราจะลงนามร่วมกันในเอกสารกี่ฉบับก็ตาม แต่สิ่งที่ทุกประเทศลงนามไปนั้น ประเทศไหนไม่ทำ ก็จะไม่มีใครว่าอะไร
ดังนั้นแม้ว่าเราจะบอกว่าในเรื่อง AEC นั้น แรงงานที่มีทักษะ เช่น หมอ หมอฟัน พยาบาล วิศวกรฯลฯ จะเคลื่อนย้ายเสรี คนที่มีอาชีพเหล่านี้อยากไปทำงานที่ไหนก็ได้ ตกลงกันแบบนี้จริง มีการลงนามกันจริง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกประเทศต่างก็ยังมีกฎหมายและกฎระเบียบของตัวเองเพื่อจะดูแลสวัสดิการของคนในประเทศตัวเองเป็นใหญ่เช่นประเทศ ไทยก็ยังเป็นห่วงสวัสดิการหมอไทยกับคนไทยเป็นหลัก ดังนั้นหมอชาติอื่นจะมาทำงานเมืองไทยก็ต้องทำตาม กฎหมาย และกฎระเบียบของเมืองไทย ในกรณีนี้ก็คือหมอชาติอาเซียนจะต้องมาสอบใบประกอบวิชาชีพโรคศิลป์ของไทยซึ่งเป็น ภาษาไทยให้ผ่านเสียก่อน ผลลัพธ์ก็คือจะยังไม่มีหมอชาติไหนสามารถเข้ามาทำงานในเมืองไทยได้ แต่ก็ไม่ใช่เฉพาะเมืองไทยที่ทำแบบนี้ เพราะทุกประเทศในอาเซียนต่างก็จะทำคล้ายๆกัน หมอไทยจึงยังไปทำงานต่างประเทศไม่ได้เหมือนกัน
เรื่องอื่นๆที่เราตกลงกันไว้เช่น เงินทุนเคลื่อนย้ายเสรี การลงทุนและถือหุ้นในบางอุตสาหกรรมเสรี ก็จะเจอปัญหาทางเทคนิคเหมือนๆกับการเคลื่อนย้ายของแรงงานมีทักษะ อย่างที่ผมได้ยกตัวอย่างให้เห็นไปแล้ว แต่อย่าคิดมากครับ เพราะในอนาคตเมื่อประเทศต่างๆเห็นว่าการปกป้องผู้คนหรืออุตสาหกรรมในประเทศนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์ในระยะยาว ประเทศ ต่างๆก็จะค่อยๆเปิดกว้างและทำตามข้อตกลงที่เราเซ็นต์สัญญากันเอาไว้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรใช่มั้ยครับถ้า วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมานั้น AEC ของเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากวันที่ 31 ธันวาคมปีที่แล้วเลย
ดังนั้นเราควรหันมาศึกษาดูให้ดีๆว่าจริงๆแล้วความสำคัญของ AEC นั้นอยู่ที่ตรงไหน คนไทยส่วนมากเข้าใจว่า AEC ที่มีคนรวมกัน 600 ล้านคนเศษกับขนาดเศรษฐกิจรวมกันราว 28 ล้านล้านบาทเศษนั้นใหญ่โตและน่าสนใจเสียเหลือเกิน แต่ในความเป็นจริงแล้ว AEC นั้นโดยตัวมันเองไม่ได้น่าสนใจอะไรมากมายนะครับ ที่น่าสนใจมากกว่าอยู่ที่คู่ค้าคู่เจรจา ของเราต่างหากที่เรียกว่า “อาเซียนบวก 6” นั่นแหล่ะครับ เพราะเมื่อรวม จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และ อินเดีย เข้าไปแล้ว ประชากรรวมเพิ่มขึ้นเป็น 3,400 ล้านคนและขนาดเศรษฐกิจใหญ่ขึ้นกว่า 700 ล้านๆบาท ใหญ่โตขึ้น อย่างมหาศาล ที่ว่า AEC เนื้อหอมนั้นก็อยู่ตรงนี้แหล่ะครับ หอมไม่หอมก็ดูเอาสิครับรัสเซียยังต้องขอเข้ามาร่วม พอรัสเซีย เข้ามา สหรัฐฯซึ่งเป็นมหาอำนาจซึ่งแข่งขันกันมาโดยตลอดก็ต้องขอเข้ามาร่วมด้วย พอเอาสองประเทศมหาอำนาจนี้มารวมกับอาเซียนบวก 6 เราเรียกกลุ่ม 18 ประเทศนี้ว่า EAST ASIA SUMMIT (EAS) นะครับ กลุ่มนี้มีประชากรรวมกัน สูงเกิน 3,900 ล้านคนและขนาดเศรษฐกิจใหญ่ถึง 1,300 ล้านๆบาทเศษ ใหญ่เกินครึ่งโลกทั้งจำนวนคนและขนาดเศรษฐกิจ น่าอะเมซิ่งมั้ยครับ แค่ 18 ประเทศเท่านั้นเองใหญ่เกินครึ่งโลกเลย ที่เราเห็นผู้นำสหรัฐกับรัสเซียไปร่วมประชุมสุดยอด อาเซียนอยู่ทุกครั้งก็เพราะ EAS นี่แหล่ะครับ เริ่มเห็นความน่าอะเมซิ่งแล้วใช่มั้ยครับ เวลคัมทู AEC ครับ