Amazing AEC – เด็กเวียดนาม ท็อปเทนของโลก

0
520

ผลการทดสอบความสามารถของเด็กซึ่งเขาจัดทำกันทุก 3 ปีจากเด็กอายุ 15 ปี จำนวนกว่าครึ่งล้านคนทั่วโลก ที่เรียกว่า PISA หรือ โครงการประเมินนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Students Assessment) ของปีล่าสุด คือ ปีพ.ศ. 2558 ออกมาแล้ว โดยเขาทดสอบ 3 วิชาที่มีความสำคัญอย่างสูงต่อการพัฒนาประเทศในอนาคตคือ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และการอ่านครับ

เด็กสิงคโปร์ซึ่งสอบได้ที่สองเมื่อ 3 ปีที่แล้ว มาปีนี้ทำได้ดีเยี่ยมด้วยการแซงเด็กทั้งโลกสอบได้ที่ 1 ตามด้วยเด็กญี่ปุ่น เอสโตเนีย ไต้หวันและฟินแลนด์ ส่วนเด็กจีนซึ่งคราวที่แล้วสอบได้ที่ 1 แต่เป็นการวัดความสามารถเฉพาะเด็กเซี่ยงไฮ้เท่านั้น แต่พอคราวนี้เขาไปวัดความสามารถเด็กเพิ่มอีก 3 สามเมืองคือปักกิ่ง เซียงจู และกวางตุ้งเข้ามาทำเอาอันดับของจีนตกลงไปอยู่ที่  10 เลยทีเดียว ส่วนเด็กไทยเรานั้นตกทั้งสามวิชาเหมือนเคย ปีล่าสุดได้ที่ 54 แย่พอๆ กับการทดสอบสองครั้ง ล่าสุดที่ได้ที่ 50 ทั้งสองครั้ง

แต่ที่ดีขึ้นมากจนโลกจับตามองคือเวียดนามซึ่งเพิ่งเข้าร่วมทดสอบ PISA ครั้งแรกในปี 2555 ซึ่งเด็กเวียดนามสอบได้ที่ 17  ของโลกได้คะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ 525 การอ่าน 487 คณิตศาสตร์ 495 สูงกว่าคะแนนเฉลี่ย ( 493, 493 และ490) และ สูงกว่าเด็กไทยซึ่งได้ 438  438 และ 427 คะแนนตามลำดับ มาถึงปีนี้เด็กเวียดนามสอบได้ที่ 8 ของโลก พุ่งแซงเด็กฮ่องกง จีน เกาหลีใต้ อังกฤษ เยอรมนีและสหรัฐขึ้นมาได้อย่างน่าอะเมซิ่ง

นักการศึกษาทั่วโลกได้เข้าไปวิจัยและได้ข้อสรุปตรงกันว่าปัจจัย ที่ทำให้เวียดนามประสบ ความสำเร็จในการปฏิรูปการศึกษาคือวัฒนธรรมของเวียดนาม เช่น การทำงานหนักของครู ความขยันของนักเรียนและบทบาทของพ่อแม่ครับ

ครูเวียดนามนั้นจะต้องสอนภายใต้ระเบียบวินัยที่เคร่งครัด เสรีภาพน้อยเพราะถูกส่วนกลางควบคุมอย่างเข้มงวด โดยต้องรับผิดชอบงานสอนเป็นสำคัญและต้องเน้นผลการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นหลัก  นักเรียนเวียดนามเป็นคนขวนขวายมีความขยันเป็นพื้นฐาน และถูกปลูกฝังทัศนคติว่าความสำเร็จทางการศึกษาเป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดของชีวิตเขา เด็กเวียดนามจึงทุ่มเทอย่างจริงจังและขยันเรียนมากกว่าเด็กชาติอื่นๆ ขณะที่พ่อแม่เวียดนามก็มีความคาดหวังสูงกับลูก จึงติดตามผลการเรียนอย่างใกล้ชิด และให้ความร่วมมือกับครูและยังช่วยระดมทุนให้โรงเรียนอีกด้วย

จำนวนโรงเรียนของเวียดนามแม้จะมีน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แต่ทุกโรงเรียนกลับมีมาตรฐานสูงเทียบเท่าสากล เช่นเดียวกับจำนวนคอมพิวเตอร์แม้ว่าจะมีน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แต่คอมพิวเตอร์แทบทุกเครื่องของโรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย ในเวียดนามสามารถต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเคเบิลใยแก้ว ซึ่งรัฐบาลร่วมกับภาคเอกชน ช่วยกันวางรากฐานเอาไว้ให้ธนาคารโลกเข้ามาศึกษาและพบว่านักเรียนมัธยมของเวียดนาม 99.9% สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ต

รัฐบาลเวียดนามไม่ได้หยุดอยู่แค่การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตให้กับสถาบันการศึกษาเท่านั้น แต่กลับมองไปไกลถึงโครงการมหาวิทยาลัยเสมือนหรือ Virtual University โดยไปขอให้เกาหลีใต้มาช่วยเหลือในโครงการมหาวิทยาลัยเสมือนที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งฮานอย และโปรแกรม e-Learning ของมหาวิทยาลัยเปิดแห่งฮานอย รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้า ที่จะใช้  ICT เพื่อการพัฒนานวัตกรรมและมาตรฐานของการเรียนการสอนให้สูงขึ้นไปอีก แถมยังมีนโยบายที่จะส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตของคนทั้งประเทศ โดยจะทำให้นักเรียนและประชาชนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่และทุกเวลาที่ต้องการ ส่วนเรื่องงบประมาณเพื่อการศึกษา แม้ว่าเศรษฐกิจจะพัฒนาน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แต่เขากลับจัดงบประมาณเพื่อการศึกษาเอาไว้สูงมาก คิดเป็น 24% ของงบประมาณของรัฐบาล หรือคิดเป็น 6.3% ของ GDP แม้ว่าเมื่อคิดเป็นเม็ดเงินจริงๆ แล้วจะยังต่ำกว่างบประมาณเพื่อการศึกษาของประเทศอื่นๆ แต่เขาก็เน้นการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ แม้เงินจะน้อยแต่เมื่อรัฐบาลมีวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ เด็กพ่อแม่และครูมีวัฒนธรรมที่ดีแถมมีเป้าหมายชัดเจน มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เด็กเวียดนามเก่งติด 1 ใน 10 ของโลกได้อย่างน่าอะเมซิ่ง ส่วนเด็กไทยต้องบอกว่าน่าเศร้าใช่ไหมครับ

[smartslider3 slider="9"]