AEC for Happy Family : สอนลูกให้รักชาติ

0
394

AEC for Happy Family : สอนลูกให้รักชาติ

AEC  for  Happy Family  กับ เกษมสันต์ (กรกฎาคม 2557)

สอนลูกให้รักชาติ

เดือนที่ผ่านมามีหลายๆกิจกรรมที่หน่วยงานต่างเขาช่วยกันคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อคืนความสุขให้กับคนไทยและ เพื่อทำให้คนไทยรักชาติและรักกันให้มากขึ้น ก่อนหน้าที่ไทยเราจะมีวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ เพื่อนๆต่างชาติที่ผมรู้จักมักจะถามผมเสมอๆว่า ประเทศไทย พ่อแม่ไทยสอนลูกกันอย่างไร ทำไมคนไทยเราจึงรักชาติกันเหลือเกิน?

ผมก็ถามกลับว่า เขาดูตรงไหนถึงคิดว่าคนไทยรักชาติมากเหลือเกิน เขาบอกว่าทุกครั้งที่มีคนชาติอื่นมาว่าชาติไทย คนไทยจะรวมตัวลุกขึ้นมาประท้วง ไม่ว่าสิ่งที่ต่างชาติเขาว่าเมืองไทยนั้นจะถูกหรือจะผิด คนไทยจะไม่สนใจ จะประท้วงและต่อว่าสวนกลับทันที

แต่ที่สะท้อนว่าคนไทยรักชาติมากสุดๆก็คือ เด็กไทยครับ เพื่อนต่างชาติผมตั้งข้อสังเกตว่าเด็กๆทุกชาติ เวลาไป เรียนต่อที่ประเทศไหนก็ตาม พอเรียนจบเขาก็มักจะหาทางอยู่ต่อเพื่อฝึกงานสักพักหนึ่ง หรือบางคนก็อาจจะหา ทางทำงานและตั้งรกรากที่นั่นซะเลย ไม่เหมือนกับเด็กไทยที่พอเรียนจบปั๊บกลับบ้านปุ๊บ ไม่อยากฝึกงานไม่อยาก ทำงานไม่อยากเผชิญชีวิตด้วยตัวเองในเมืองนอก ระหว่างเรียนก็มักจะคบแต่เด็กไทยเหมือนๆกัน พอปิดเทอม ก็กลับมาเมืองไทยแทนที่จะตระเวณท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในประเทศที่ตัวเองไปเรียนหรือประเทศใกล้เคียง

เป็นข้อสังเกตที่ผมแปลกใจตอนแรกที่ได้ยิน แต่พอดูเข้าจริงๆ ผมก็เห็นด้วยกับเพื่อนต่างชาติของผมว่าเด็กไทยเรา เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ผมไม่มั่นใจว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะเด็กไทยเรารักชาติมากคิดถึงเมืองไทยมากเหลือเกิน ปิดเทอมเมื่อหร่ก็กลับบ้าน เรียนจบปั๊บกลับบ้านปุ๊บ รักชาติขนาดนั้นเลยเหรอครับ?

ผมลองวิเคราะห์แล้วได้ข้อสรุปของตัวผมเองว่า ที่เด็กไทยเราเป็นเช่นนั้นเพราะเด็กไทยเราถูกปลูกฝัง มาให้รักชาติแบบผิดๆจากระบบการศึกษาของไทยเราเองครับ

ระบบการศึกษาไทยไม่ได้ส่งเสริมให้เด็กไทยกล้าคิดกล้าแสดงออกกล้าพูด เพราะฉะนั้นเด็กไทยเมื่อเรียนจบ ออกมาจึงทำได้แค่จำสิ่งที่ครูสอนมาตอบ แต่ไม่กล้าถามไม่กล้าแสดงความเห็น ซึ่งเป็นบุคลิกและนิสัยที่แตกต่าง ไปจากเด็กชาติอื่นๆโดยเฉพาะเด็กๆจากชาติตะวันตก ซึ่งระบบการศึกษาของเขาเน้นให้เด็กกล้าคิดกล้าแสดงออก

เด็กไทยเวลาไปเรียนเมืองนอกก็เลยรู้สึกว่าตัวเองเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ หรือบางคนแย่ไปกว่านั้นคือรับไม่ได้ เลยที่เพื่อนๆชาติตะวันตกช่างพูดช่างถามและกล้าแสดงออกเมื่อพวกเขาชอบหรือไม่ชอบอะไรอย่างตรงไปตรงมา

พออยู่ในห้องเรียนก็เลยอึดอัด รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนคนอื่นเขา เวลาเรียนก็เลยคบแต่เด็กไทยด้วยกัน เมื่อถึงเวลา ปิดเทอมก็เลยอยากกลับบ้าน ไม่คิดจะท่องไปเที่ยวหาประสบการณ์กับเพื่อนต่างชาติ แล้วก็บอกว่า คิดถึงคุณแม่ คุณพ่อเหลือเกิน ปิดเทอมนี้ขอกลับบ้านนะ คุณแม่คุณพ่อซึ่งคิดถึงลูกจริงๆก็มักจะใจดีอนุญาตให้กลับบ้าน ซึ่งพอกลับมาบ้านจริงๆก็ไม่ค่อยจะอยู่บ้าน

ระหว่างเรียนเด็กไทยก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องหางานพาร์ทไทม์ทำเหมือนเด็กชาติอื่นเพื่อแบ่งเบาภาระให้คุณแม่คุณ พ่อ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเด็กไทยถูกปลูกฝังให้คิดว่าเป็นหน้าที่ของคุณแม่คุณพ่อที่ต้องส่งเสียดูแลพวกเขาจนจบ เขาไม่จำเป็นที่ต้องทำงานพาร์ทไทม์ บ้านฉันฐานะดี คุณแม่คุณพ่อฉันดูแลได้ คนที่ไปทำงานนั่นคือคนที่ ที่บ้านไม่ดูแล ฐานะไม่ดี น่าอาย คิดซะอย่างนั้น

พอเรียนจบ เด็กไทยก็เลยคิดรีบจะกลับบ้านให้เร็วที่สุด ไม่อยู่อีกแล้วประเทศนี้ กลับไปเมืองไทยที่ฉันรักดีกว่า

ทั้งหมดที่เป็นแบบนี้เพราะระบบการศึกษาไทยล้วนๆครับ ระบบการเรียนการสอนของไทยนอกจาก จะไม่สามารถทำให้เด็กไทยกล้าคิดกล้าถามกล้าแสดงออกแล้ว ระบบการศึกษาไทยยังไม่สามารถจะสอน ให้เด็กไทยมีความคิดที่จะอยากทำงานเพื่อดูแลตัวเองอีกด้วย ที่แย่กว่านั้นก็คือเมื่อเรียนเสร็จกลับมาที่บ้าน คุณแม่คุณพ่อก็มักจะซ้ำเติมลูกด้วยการดูแลแบบเป็นเจ้าชายเจ้าหญิง แบบลูกไม่ต้องทำอะไรเลย คุณแม่คุณพ่อคนรับใช้ทำให้หมด เด็กไทยเลยเคยตัวไม่เคยคิดจะดูแลตัวเอง

ในห้องเรียนประวัติศาสตร์ คุณครูก็จะสอนประวัติศาสตร์ที่เขียนโดยคนไทย ซึ่งก็แน่นอนว่าจะต้องเขียน ให้ชาติไทย คนไทยเป็นชาติที่ดีคนที่ดีกว่าชาติอื่นๆและคนชาติอื่นๆ ถ้ามีประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับความขัดแย้ง กับประเทศเพื่อนบ้านนั่นก็เป็นเพราะประเทศเพื่อนบ้านและคนจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นคนไม่ดี เด็กไทยก็เลยเดินออกจากโรงเรียนด้วยความรักชาติไทยและเกลียดชังชาติอื่นๆไปพร้อมๆกัน

เรื่องนี้อันตรายที่สุดและคุณแม่คุณพ่อก็ช่วยลูกรักไม่ได้เสียด้วย เพราะคุณแม่คุณพ่อก็ผ่านการล้างสมอง มาด้วยหลักสูตรและวิธีการสอนประวัติศาสตร์แบบเดียวกัน และที่สำคัญคุณแม่คุณพ่อไม่เคยรู้ตัวมาก่อน เลยว่าเราถูกล้างสมองให้รักชาติบนพื้นฐานความเกลียดชังชาติอื่นๆ การฉายหนังเรื่องดังให้ดูฟรีเพื่อสร้างกระแส รักชาติเป็นตัวอย่างล่าสุดของวิธีคิดแบบนี้

ผมเดินทางไปในกลุ่มประเทศเออีซีบ่อยมาก ซึ่งทุกครั้งที่ผมเดินทางไปไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม ผมจะไม่แบกเอาประวัติศาสตร์รักชาติแบบผิดๆติดหัวผมไปด้วย แต่ผมจะเดินทางด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง เพื่อที่จะไปเรียนรู้ไปรู้จักประเทศเพื่อนบ้านของเรา ผมจะเดินทางด้วยความตั้งใจว่าจะไปเพื่อที่จะรู้จักและ เพื่อที่จะรักเขา ไปด้วยใจว่างๆ ใจเบาๆ และด้วยความคิดที่ว่าประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นแล้วก็เป็นเรื่องของ ประวัติศาสตร์ ใครจะถูกจะผิดผมก็ยังไม่รู้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปเลือกอ่านประวัติศาสตร์ฉบับไหน คนชาติไหน เป็นคนเขียน อย่าว่าแต่ประวัติศาสตร์ระหว่างไทยเรากับประเทศเพื่อนบ้านเลยครับ เอาแค่ประวัติศาสตร์ หน้าสำคัญๆของไทยเราเอง ยังมีหลายหน้ามากเลยที่คนไทยเรายังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมผมจะต้องจำเอาประวัติศาสตร์ด้านเดียวซึ่งอาจจะผิดติดตัวไปด้วย

แต่สิ่งที่ผมเอาติดตัวและหัวใจไปด้วยก็คือความคิดที่ว่า แม้ผมจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ กับประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ แต่ผมสามารถเปลี่ยนอนาคตความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านของผมได้ ที่สำคัญผมสามารถเปลี่ยน วิธีคิดกับประเทศเพื่อนบ้านได้ด้วยตัวผมเอง และสามารถเปลี่ยนได้ทันทีเสียด้วย

พอคิดได้แบบนี้ผมเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านด้วยความรักและสนุกมากๆครับ พอไม่มีประวัติศาสตร์เดิมๆ มาปิดตาปิดใจเรา ทุกอย่างที่เราเห็นเราก็จะสนุก ตื่นเต้น อยากรู้ไปหมดว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนๆกับความรู้สึกตอนที่เราได้เดินทางไปเที่ยวยุโรป อเมริกาหรือญี่ปุ่น ประมาณนั้นล่ะครับ ถ้าไปประเทศเหล่านั้น เขาทำอะไรก็ดูเหมือนดี มีเหตุมีผลที่น่าชื่นชมไปเสียหมด ใช่ไหมครับ ไปประเทศเหล่านั้นเราพยายามจะทำความเข้าใจทุกเรื่องราวที่เราเห็นว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้นแบบนี้ พอเปิดใจและเข้าใจเขาแล้ว เราก็จะรู้สึกว่า เข้าใจละ ดีจัง น่ารักจัง ใช่มั้ยครับ?

ถ้าคุณแม่คุณพ่อทำอย่างที่ผมแนะนำได้ ผมรับรองว่าคุณแม่คุณพ่อจะสามารถพาลูกรักไปเที่ยวประเทศ ในกลุ่มเออีซีของเราได้อย่างสนุกสนานและจะสามารถรักเพื่อนบ้านของเราได้อย่างง่ายดายขณะเดียวกันก็จะรู้สึกรักชาติไทยของเรามากขึ้นด้วย เห็นแล้วนะครับว่าจะสอนลูกรักให้รักชาติและรักเพื่อนบ้าน ไม่ได้เริ่มที่ไหน แต่ต้องเริ่มที่ใจของคุณแม่คุณพ่อ นั่นเองครับ

[smartslider3 slider="9"]