ยุทธศาสตร์สู่ AEC ตอนที่ 32 มาเลเซียเหนือไทย?

0
440

31 สิงหาคม ของทุกปีเป็นวันชาติของมาเลเซียครับ

ที่เขาเลือกเอาวันที่ 31 สิงหาคมเป็นวันชาติก็เพราะเป็นวันที่เขาได้เป็นอิสระจากอังกฤษเมื่อปี 2500 นี้เองครับ

เมื่อปี 2543 นายกฯมาเลเซีย มหาเดร์ ได้ประกาศวิสัยทัศน์ 2020 ซึ่งเป็นทิศทางพัฒนาประเทศ ที่มาเลเซียต้องการจะเดิน ประกาศแล้วเขาก็ทำเช่นนั้น 22 ปีของการเป็นนายกฯ ของมาเลเซีย มหาเดร์ ได้ทำอะไรไว้มากมายเช่นเดียวกับที่ ลี กวน ยู ได้ทำอะไรไว้มากมายในสิงคโปร์

ล่าสุดรัฐบาลมาเลเซียภายใต้การนำของนายก ราจิ๊บ นาซัคได้ประกาศ ยุทธศาสตร์ 1 Malaysia People first  Performance now เพื่อกำหนดทิศทางใหม่ของการปฏิรูปและพัฒนาประเทศแล้ว ยุทธศาสตร์ 1 มาเลเซียนี้ แค่ชื่ออ่านแล้วก็รู้ว่ารัฐบาลมาเลเซียต้องการที่จะบ่งบอก ว่าเขาต้องการที่จะสร้างความรู้สึกปรองดอง ให้เกิดกับประชากรที่หลายหลายของมาเซียอีกด้วย เพราะที่ผ่านมารัฐบาลของมาเลเซีย ได้ดูแลคนมาเลย์ที่มีราวๆ 60 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด ดีมากกว่าคนมาเลย์เชื้อสายจีน ซึ่งมีราวๆ 30 เปอร์เซ็นต์และคนมาเลย์ เชื้อสายอินเดีย อีก 10 เปอร์เซ็นต์ ดูแลดีมากกว่าจนกระทั่งทำให้คนมาเลย์เชื้อสายจีนซึ่งเป็นกำลังหลัก ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของมาเลเซียรู้สึกว่าตัวเองเป็นพลเมืองชั้นสองเลยครับ

จะเรียนหนังสือคน “ภูมิบุตรา” หรือคนมาเลเซียแท้ๆ ก็จะมีโควต้าพิเศษ จะทำงานในหน่วยงานของรัฐบาล ก็มีโควต้าให้ ดีเวลลอปเปอร์จะขายคอนโดตามระบบธุรกิจปรกติ ยังต้องกันห้องว่างส่วนหนึ่งไว้ให้คน “ภูมิบุตรา” ได้มีโอกาสเลือกห้องก่อนในราคาที่ถูกว่าคนอื่นๆ จนพ้นกำหนดเวลาถ้าคน “ภูมิบุตรา” ไม่มาใช้สิทธิ์ดีเวลลอปเปอร์ถึงจะมีสอทธิ์ขายคนมาเลย์สัญชาติอื่นๆหรือคนต่างชาติ

ดูแลอย่างลำเอียงมากจนวันนี้ คนมาเลย์เชื้อสายจีนต่างต้องการส่งลูกหลานตัวเองไปอยู่ไปทำมาหากิน ในประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศ อังกฤษที่เคยมาปกครองมาเลเซียและออสเตรเลียซึ่งเคยถูกอังกฤษปกครอง

ยุทธศาสตร์ 1 Malasia  People first  Performance now ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ต่อเนื่องจาก วิสัยทัศน์ 2020 และต้องการจะพัฒนาจนทำให้มาเลเซียเป็นประเทศพัฒนาแล้ว หลุดจากความเป็นประเทศกำลังพัฒนา เหมือนไทยภายในปี  2563 คือทำให้คนมาเลเซียมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปี มากกว่าคนละ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 450,000 บาทต่อปี

วันนี้มาเลเซียมีจีดีพี 9 ล้านล้านบาทเล็กกว่าเมืองไทยที่มีจีดีพีราว 11 ล้านล้านบาท แต่เพราะเขามีประชากรเพียง 29 ล้านคนเลยทำให้รายได้เฉลี่ยต่อคนของมาเลเซียสูงกว่าของไทยคือ คนมาเลเซียมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวคนละ 309,000 บาทขณะที่คนไทยเรามีรายได้เฉลี่ยต่อหัวคนละเพียง 166,000  บาท

เรื่องยกระดับรายได้จะได้ผลหรือไม่ต้องคอยติดตามต่อไป แต่วันนี้ลองเอาดัชนีชี้วัดประเทศ ที่ฝรั่งเขาทำเอาไว้มาเปรียบเทียบดูว่า ไทยกับมาเลเซียใครจะเหนือกว่าใคร ผลออกมาเป็นอย่างนี้ครับ ความยากง่ายในการทำธุรกิจ มาเลเซียอยู่ลำดับที่ 12 ส่วนไทยอยู่ลำดับที่ 18 ความโปร่งใสไร้คอร์รัปชั่น มาเลเซียอยู่ลำดับที่ 54 ไทยอยู่ที่ 88  ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน มาเลเซียอยู่ลำดับที่ 32 ไทยอยู่ลำดับที่ 46

ไปดูที่คุณภาพระบบการศึกษา ของมาเลเซียได้อันดับที่ 14 ส่วนไทยได้อันดับที่ 78 ส่วนประสิทธิภาพแรงงาน ของมาเลเซียอยู่ลำดับที่ 24  ไทยอยู่ลำดับที่ 76

ดูดัชนีเปรียบเทียบ มาเลเซียในวันนี้ดูดีกว่าเมืองไทย แต่ผมก็ยังไม่เชื่อก็เลย ลองไปถามคนไทย ที่ไปทำมาหากินในมาเลเซียว่าใครเหนือกว่าใคร ทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า มาเลเซียเขาเหนือกว่าเราครับ

พอเขียนบทความนี้จบ ผมจะไปพบกับมันสมองของมาเลเซียที่มีส่วนอย่างสำคัญ ในการเขียนยุทธศาสตร์ 1 Malaysia และกำกับดูแลให้ยุทธศาสตร์นี้เกิดขึ้นและได้ผลจริงๆตามที่ตั้งเป้าเอาไว้

โปรดคอยอ่านในตอนต่อไปครับ

[smartslider3 slider="9"]